วันอังคารที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2555

โครงสร้างของเครือข่ายคอมพิวเตอร์

หน่วยที่ 5  โครงสร้างของเครือข่ายคอมพิวเตอร์    

           ระบบ Network และ Internet   (06/08/55)


                    โครงสร้างของเครือข่ายคอมพิวเตอร์ แบ่งออกเป็น 3 ลักษณะ ดังนี้

การทำงานของระบบ Network และ Internet  
โครงสร้างของเครือข่ายคอมพิวเตอร์
       1. เครือข่ายเฉพาะที่ ( Local Area Network : LAN ) เป็นเครือข่ายที่มักพบในองค์กรโดนส่วนใหญ่ ลักษณะการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เป็นวง LAN จะอยู่ในพื้นที่ใกล้ๆ กัน เช่น อยู่ภายในอาคาร หรือ หน่วยงานเดียวกัน
        2. เครือข่ายการเมือง  ( Metropolitan Area Network : MAN )  เป็นกลุ่มของเครือข่าย LAN ที่นำมาเชื่อยมต่อกันเป็นวงที่ใหญ่ขึ้น ภายในบรเวณพื้นที่ใกล้เคียง เช่นในเมืองเดียวกันเป็นต้น
        3. เครือข่ายบริเวณกว้าง  ( Wide Area Network : WAN )  เป็นเครือข่ายที่ใหญ่ขึ้นไปอีกระดับโดยเป็นการรวมเครือข่ายทั้ง  LAN และ MAN มาเชื่อมต่อกันเป็นเครือข่ายเดียวกัน ดังนั้นเครือข่ายนี้ จึงครอบคลุมพื้นที่กว้าง โดยมีการครอบคลุมไปทั่วประเทศ หรือทั่วโลก เช่น  อินเตอร์เน็ต ซึ่งถือเป็นเครื่อข่ายสาธารณะที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของ

    รูปแบบโครงสร้างของเครือข่าย Network Topology
           การจัดระบบการทำงานของเครือข่าย มีรูปแบบโครงสร้างของเครือข่าย อันเป็นการจัดวางคอมพิวเตอร์ และการเดินสายสัญญาณคอมพิวเตอร์ในเครือข่าย รวมถึงหลักการไหลเวียนข้มูลในเครือข่ายด้วย โดย แบ่งโครงสร้างเครือข่ายหลักได้ 4 แบบ คือ 
                                       
        1. แบบดาว ( Star Network  )  เป็นการต่อสายเชื่อมโยงโดยการนำสถานีต่างๆ  มาต่อรวมกันเป็นหน่วยสลับสายกลาง การติดต่อสื่อสารระหว่างสถานีจะกระทำได้ด้วยการติดดต่อผ่สนทางวงจรของหน่วยสลับสายกลาง การทำงานของหน่วยสลับสายกลางจึงคล้ายกัยศูนย์กลาง
                    ลักษณะการทำงาน 
เป็นการเชื่อมโยงสื่อสารคล้ายดาวหลายแฉก  โดยมีสถานีกลาง หรือฮับ เป็นจุดผ่านการติดต่อ กันทุกโหนดในเครือข่าย สถานีกลางจึงมีหน้าที่เป็นศูนย์ควบคุมเส้นทางการสื่อสารทั้งหมด  และยังทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางคอยจัดส่งข้อมูลให้กับโหนดปลายทางอีกด้วย   การสื่อสารจัดเป็น 2 ทิศทางโดยจะอณุญาตให้มีเพียงโหนดเดียวเท่านั้นที่สามารถส่งข้อมูลเข้าสู่เครือข่ายได้ จึงไม้มีโอกาศที่หลายๆ โหนดจะส่งข้อมูลเข่าสู่เครือข่ายในเวลาเดียวกัน เพื่อป้องกันการชนกันของสัณญาณข้อมูล  เครือข่ายแบบบดาว เป็นรูปแบบเครือข่ายหนึ่งที่เป็นที่นิยมกันในปัจจุบัน




          2.  แบบวงแหวน  ( Ring  Network  )                 เป็นแบบที่สถานีของเครือข่ายทุกสถานีจะต้องเชื่อมต่อกับเครือข่ายสัญญารของตัวเองโดยจะมีการเชื่อมโยง ของสัญญาณของทุกสถานีเข้าด้วยกันเป็นวงแหวน เครือข่านสัญญาณเหล่านี้จะมีหน้าที่มนการรับข้อมูลจากเครื่องคอมพิวเตอร์ของตัวเอง หรือจากเครือข่ายสัญญาณตัวก่อนหน้า และส่งข้อมูลต่อไปยังเครือข่ายสัญญาณตัวถัดไปเรื่อยๆ เป็นวง หากข้อมูลที่ส่งเป็นของสถานีใด



              

3.เครือข่ายแบบบัส  ( Bus Network )   เป็นเครือข่ายที่เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์ต่างๆ ด้วยสายเคเบิ้ลยาว ต่อเนื่องไปเรื่ยๆๆ โดยจะมีอุปกรณืที่เป็นตัวเชื่อมต่ออุปกรณืเข้ากับสายเคเบิล ในการส่งข้อมูล จะมีคอมพิวเตอร์เพียงตัวเดียวเท่านั้นที่สามารถส่งได้ในช่วงเวลาหนึ่งๆ การจัดส่งข้อมูลวิธีนี้ จะต้องกำหนดวิธี  ที่จะไม่ให้ทุกสถานีส่งข้อมูลพร้อมกัน  เพราะจะทำให้ข้อมูลชนกันลา หรือให้แต่ละสถานีใช้ความถี่ สัญญาณที่แตกต่างกัน ในการติดตั้งเครือข่ายแบบบัสนี้ คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์แต่ละชนิด ถ฿กเชื่อมต่อมต่อด้วยสายเคเบิ้ลเพียงเส้นเดียว
   อุปกรณ์ทุกชิ้นหรือโหนดทุกโหนด ในเครือข่ายต้องเชื่อมโยงเข้ากับสายสื่อสารหลักที่เรียก ว่า   บัศ   BUS   เมื่อโหนดหนึ่งต้องการจะส่งข้อมูลไปให้ยังอีกโหนดหนึ่ง ภายในเครือข่าย  จะต้องตรวจสอบว่าบัสง่างหรืไม่  ข้อมูลจะวิ่งผ่านโหนดไปเรื่อยๆๆ ในขณะที่แต่ละโหนดก็จะตรวจสอบว่าเป็นว่าเป็นของตนเองหรืไม่หากไม่ใช่ก็จะปล่อยให้วิ่งไปเรื่อยๆๆ
                 
             


                4.เครือข่ายแบบต้นไม้  ( Tree  Network ) เป็นเครือข่ายที่มีการผสมผสานโครงสร้างเครือข่ายแบบต่างๆ เข้าด้วยกันเป็นเครือข่ายขนาดใหญ่ การจัดส่งข้อมูลสามารถส่งไปถึงได้ทุกสถานี  การสื่อสารข้อมูลจะผ่านตัวกลางไปยังสถานีอื่นๆ ได้ทั้งหมด เพราะทุกสถานีจะอยู่บนทางเชื่อม รับส่งข้อมูลเดียวกัน



 
 
 



 
การประยุกต์ใช้งานของระบบคอมพิวเตอร์         ระบบเครือข่ายทำให้เกิดการสื่อสาร และการแบ่งปันการใช้ทรัพยากรระหว่างเครือข่าย รูปแบบการใช้งาน  แบ่งออกเป็น 3 ประเภท
1. ระบบเครือข่ายแบบศูนย์กลาง  ( Centrallised   Network )
2.ระบบเครือข่ายแบบ  ( Pee-to Pee)
3. ระบบเครือข่ายแบบ Client/Server

1. ระบบเครือข่ายแบบศูนย์กลาง  ( Centrallised   Network  )  เป็นระบบที่มีเครื่องหลักเพียงเครื่องเดียวที่ใช้ในการประมวลผล ตั้งอยู่ที่ศูนย์กลาง และมีการรรเชื่อมต่อไปยังเครื่องเทอร์มินอลที่อยู่รอบๆ ใช้การเดินสายเคเบิ้ล เชื่อมต่อกันโดยตรง เพื่อให้เครื่องเทอร์มินนอลสมารถสเข้าใช้งานโดยคำสั่งต่าง มาประมวลผลที่เครื่องกลาง ซึ่งมักเป็นเครืองคอมพิวเตอร์เมนเฟรมประสิทธิภาพสูง

2.ระบบเครือข่ายแบบ  ( Pee-to Pee  )   แต่ละสถานีงานบนระบบเครือข่ายสถานีเจะเท่าเทียมกัน สามรถที่จะแบ่งบันทรัพยากรให้แก้กันและกันได้ เช้นการใช้เครื่องพิมพ์ หรือ แฟ้มข้อมูลร้วมกันในเครือข่ายนั้นๆ  เครื่องแต่ละเคื่องมีขีด และความสารถได้ด้วยตนเอง  คือจะมีทรัพยากรภายในตัเอง เช่น ดิสก์สำหลับเก็บข้อมูล หน่วยความจำที่เพียงพอ
3. ระบบเครือข่ายแบบ ( Client/Server  ) สามารถสนับสนุนให้มีเครื่องลูกข่ายได้เป็นจำนวนมาก และสามรถเชื่อมต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์ได้หลายสถานี ทำง่นโดยมีเครื่อง Server ที่ให้บริการเป็นศูนย์กลางอย่างน้อย 1 เครื่อง และมีการบริหารจัดการทรัพยากรต่างๆ จากส่วนกลาง ซึ่งคล้ายกับระบบเครือข่ายแบบรวมศูนย์กลาง  แต่สิ่งที่แตกต่างกันคือ  เครื่องที่ทำหน้าที่ให้บริการในระบบ Client/Server ราคาไม่แพงมากนัก  ซึ่งอาจใช้เพียงเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ สมถนะสูงในการควบคุมการให้บริการ ทรัพยากรต่างๆ 
   นอกจากนี้เครื่องลูกข่ายยังจะต้องมีความสามรถในการประมงลผล และมีพื้นที่สำหลับเก็บข้อมูลท้องถิ่นเป็นของตัวเอง

             ระบบเครื่อข่ายแบบClient/Server เป็นระบบที่มีความยืดหยุ่น สนับสนุนการทำงานแบบ Multiprocessor  สามารถเพิ่มขยายขนาดของจำนวนผู้ใช้ได้ตามต้องการ นอกจากนี้ยังสามารถเพิ่มจำนวนเครื่องได้


ความหมายของสารสนเทศ

สารสนเทศ หมายถึง ข่าวสารที่สำคัญ

-สารสนเทศ Information) หมายถึงความรู้ที่ได้จากการศึกษา  ค้นคว้า
-สารสนเทศ เป็นความรู้ที่ได้จากการค้นคว้า  เป็นความรู้ที่มีลักษณะพิเศษ
-สารสนเทศมีความหมายตามที่ได้มีการให้คำจำกัดที่ใกล้เคียงกัน
สารสนเทศหมายถึง ข้อมูลทางด้านปริมาณและคุณภาพ ที่ประมวลจัดหมวดหมู่เปรียบเทียบและวิเคราะห์  แล้วสามารถนำมาใช้ได้ หรือนำมาประกอบพิจารณาได้ง่ายกว่า

เทคโนโลยีสารสนเทศคืออะไร?
เทคโนโลยีสารสนเทศหรือ ไอที เป็นเทคโนโลยีที่มีความสำคัญต่อสังคมในปัจจุบันมีความเกี่ยวข้องกับการจัดเก็บ การประมวลผล และการแสดงผลสารสนเทศ

เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์
คอมพิวเตอร์จัดเป็นเทคโนโลยีหลักของเทคโนโลยีสารสนเทศในยุคปัจจุบัน  มีทั้งการบันทึก จัดเก็บ ประมวลผล แสดงผล มีส่วนย่อยที่สำคัญ 2 ส่วน คือ  เทคโนโลยีฮาร์ดแวร์ เทคโนโลยีซอฟต์แวร์

1.เทคโนโลยีฮาร์ดแวร์  หมายถึงอุปกรณ์ทุกชนิดที่ประกอบขึ้นเป็นตัวเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ที่ต่อพ่วง เพื่อเชื่อมโยงจำแนกหน้าที่
-หน่วยรับข้อมูล
-หน่วยประมวลผลกลาง
-หน่วยแสดงผล (Output Unit)
-หน่วยความจำสำรอง (Secondary Storce Unit)

2.เทคโนโลยีซอฟต์แวร์  หมายถึงโปรแกรมหรือชุดคำสั่งที่ทำหน้าที่สั่งให้คอมพิวเตอร์ทำงาน
-ซอฟต์แวร์ระบบ
-ซอฟต์แวร์ประยุกต์

เทคโนโลยีสื่อสารคมนาคม  หมายถึงเทคโนโลยีที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารกันทั่วไป เช่นระบบโทรศัพท์  ระบบดาวเทียม ระบบเครือข่ายเคเบิล และอื่นๆ

-ความสำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศ
 1.แบบแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่4 (2520-2524) การมีส่วนร่วมของสารสนเทศเพื่อการศึกษา
 2.มีการจัดตั้งศูนย์ประสานงานและปฏิบัติการของระบบสารสนเทศ เพื่อการศึกษา
 3.ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับบที่8 ก็ได้มีการเห็นความสำคัญ ของเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อการศึกษา
 4.ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับที่9 มีการจัดทำแผนหลักเพื่อพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อการศึกษา แผนพัฒนาข้างต้นทำให้เทคโนโลยีสารสนเทศมีความสำคัญต่อวงการศึกษาของประเทศไทยมากขึ้น จะทำให้การศึกษาของชาติ มีความเท่าเทียมกันทั่วถึง มีคุณภาพและมีความต่อเนื่อง ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตโดยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอย่างคุ้มค่า

-พัฒนาการของเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษา
ยุคที่ 1 การประมวลผลข้อมูล วัตถุประสงค์เพื่อ การคำนวนและการประมวลผลข้อมูลของรายการประจำ (Transaction Procssing)  เพื่อลดการใช้จ่ายด้านบุคลากร
ยุคที่ 2 เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการบริหารจัดการมีการใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการตัดสินใจ ควบคุม ดำเนินการ ติดตามผล และวิเคราะห์ผลงานของผู้บริหารระดับต่างๆ
ยุคที่ 3 การจัดการทรัพยากรสารสนเทศ มีการใช้คอมพิวเตอร์เพื่อเรียกใช้สารสนเทศที่จะช่วยในการตัดสินใจ นำหน่วยงานไปสู่ความสำเร็จ
ยุคที่ 4 ยุคปัจจุบันหรือยุคเทคโนโลยีสารสนเทศ มีการใช้ระบบคอมพิวเตอร์ และระบบการสื่อสารโทรคมนาคมเป็นเครื่องมือช่วยในการจัดทำระบบสารสนเทศ และเน้นความคิดของการให้บริการสารสนเทศแก่ผู้ใช้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นวัตถุประสงค์สำคัญ

-ประโยชน์
1.ให้ความรู้ ทำให้เกิดความคิดและความเข้าใจ
2.ใช้ในการวางแผนและบริหารงาน
3.ใช้ประกอบการตัดสินใจ
4.ใช้ในการควบคุมสถานการณ์ หรือ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
5.เพื่อให้การบริหารงานมีระบบ

*สรุป*
การนำเอาเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ประโยชน์ในวงการศึกษามีปริมาณที่เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากการแพร่กระจายอย่างรวดเร็วของอุปกรณ์เทคโนโลยีสารสนเทศประเภทต่างๆ เช่นดาวเทียมสื่อสาร ใยแก้วนำแสง อินเทอร์เน็ต ก่อให้เกิดระบบคอมพิวเตอร์สำหรับการบริหารงาน ในสถานศึกษาด้านต่างๆ

ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสารสนเทศ
รูปแบบเทคโนโลยีสารสนเทศในปัจจุบัน สามารถจำแนกตามลักษณะ 6 รูปแบบดังนี้
1.เทคโนโลยีในการเก็บข้อมูล เช่น ดาวเทียม ถ่ายภาพทางอากาศ กล้องดิจิตัล เครื่องเอกซเรย์
2.เทคโนโลยีในการบันทึกข้อมูล เป็นสื่อบันทึกข้อมูลต่างๆ เช่นเทปแม่เหล็ก จานแม่เหล็ก บัตรเอทีเอ็ม
3.เทคโนโลยีในการประมวลผลข้อมูล ได้แก่เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ ทั้งฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์
4.เทคโนโลยีในการแสดงผลข้อมูล เช่นเครื่องพิมพ์ จอภาพ และพลอตเตอร์
5.เทคโนโลยีในการจัดทำสำเนาเอกสาร เช่นเครื่องถ่ายเอกสาร เครื่องถ่ายไมโครฟิล์ม
6.เทคโนโลยีในการถ่ายทอดหรือสื่อสารข้อมูล ได้แก่ โทรคมนาคมต่างๆ เช่นโทรทัศน์ วิทยุกระจายเสียง โทรเลข เทเล็กซ์ และระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ทั้งระยะใกล้และระยะไกล

-ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสารสนเทศ เช่น
1.ระบบเอทีเอ็ม
2.การบริหารและการทำธุรกรรมบนอินเทอร์เน็ต
3.การลงทะเบียนเรียน

-วัตถุประสงค์ของการสืบค้นข้อมูลสารสนเทศ
1.เพื่อทราบรายละเอียดของข้อมูล
2.เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการศึกษาหรือทำงาน
3.เพื่อสร้างการเรียนรู้ให้กับตัวเองและผู้อื่น

-Search Engine หมายถึง เครื่องมือหรือเว็บไซด์ที่อำนวยความสะดวกในการสืบค้นข้อมูลและข่าวสารให้กับผู้ใช้อินเทอร์เน็ต

-ประเภทของ Search Engine แบ่งออกเป็น 3 ประเภทดังนี้
1.อินเด็กเซอร์ (Indexers) จะเป็นฐานข้อมูลขนาดใหญ่ ที่อยู่กระจัดกระจายทางอินเทอร์เน็ต ไม่มีการแสดงข้อมูลออกมา เป็นลำดับชั้นของความสำคัญ
2.ไดเร็กทอรี่ (Directories)การค้นหาข้อมูลจะมีความเป็นระเบียบเรียบร้อยมากกว่าการค้นหาทางIndexers ข้อมูลต่างๆจะคัดแยกเป็นหมวดหมู่ จะแบ่งแยกเว็บไซด์ต่างๆออกเป็นประเภทๆ
3.เมตะเสิรช์ (Metasearch) จะใช้หลายๆวิธีการมาช่วยในการค้นหาข้อมูลโดยรับคำสั่ง

-ประโยชน์จาก Search Engine 
1.ใช้หาข้อมูลต่างๆ
2.เทคนิคการสืบค้นข้อมูล
3.การใช้คำหลัก
4.หลีกเลี่ยงการใช้ตัวเลข
5.ใช้เครื่องหมายบวกและลบช่วย

-ไดเร็กทอรี่ (Directories)
จะเป็นการเก็บรวบรวมข้อมูล โดยแบ่งออกเป็นหมวดหมู่ เปรียบเสมือนแคตตาล็อกสินค้า  ตัวอย่างเช่น
-yahoo.com
-booksmath.com
-galaxy.com
-siamguru.com
-lycos.com
-askjeeves.com

-เมตะเสิร์ช (Metasearch )
จะใช้หลายๆวิธีการมาช่วยในการค้นหาข้อมูลโดยจะรับคำสั่ง ค้นหาจากเราแล้วส่งต่อไปยังเว็บไซด์  Search Engine  หลายๆแห่งพร้อมกัน  เช่น
-dogpile.com
-profusion.com
-metacrawler.com
-highway61.com
-thaifind.com

วันจันทร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2555


วันที่ 25 มิถุนายน 2555

รูปแบบการใช้เทคโนโลยีในปัจจุบันรูปแบบการใช้เทคโนโลยีในปัจจุบัน แบ่งเป็น 6 รูปแบบ ดังนี้

1.  เทคโนโลยีการเก็บข้อมูล เช่น ดาวเทียม ภาพถ่ายทางอากาศ กล้องดิจิตอล กล้องถ่ายรูป วีดีทัศน์ เครื่องเอ็กซ์เรย์
2.  เทคโนโลยีที่ใช้ในการบันทึกข้อมูล เป็นสื่อบันทึกต่างๆ เช่น เทปแม่เหล็ก จานแม่เหล็ก  จานแสง หรือจานเลเซอร์ บัตรเอทีเอ็ม    
   ATM   ย่อมาจาก   A : Automatic    T : Teller     M : Machine
3. เทคโนโลยีที่ใช้ในการประมวลผลข้อมูล ได้แก่เทนโนโลยีคอมพิวเตอร์ ทั้งฮาร์แวร์ และ ซอฟต์ แวร์
4. เทคโนโลยีที่ใช้ในการแสดงผลข้อมูล
5. เทคโนโลยีที่ใช้ในการจัดทำสำเนาเอกสาร เช่น เครื่องถ่ายเอกสาร เครื่องถ่ายไมโครฟิล์ม
6. เทคโนโลยีสำหรับถ่ายทอด หรือ สื่อสารข้อมูล ได้แก่ โทรทัศน์ วิทยุกระจายเสียง โทรเลข และระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ทั้งระยะไกล และระยะใกล้

   การนำเอเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในรูปแบบต่างๆ ทั้งในด้านธุรกิจ และทางการศึกษา
  พฤติกรรมการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ คือ อะไร
   การแสดงทางความคิดและความรู้ในการใช้รูปแบบของเทคโนโลยีทุกประเภท ที่นำมาประยุกต์ใช้ในกระบวนการจัดหา จัดเก็บ สร้างและเผยแผ่ สารสนเทศในรูปแบบต่างๆ ได้แห่ ภาพ ข้อความ หรือตัวอักษร และตัวเลข และภาพเคลื่อนไหว เป็นต้น
     การใช้อินเตอร์เน็ต ของนักศึกษาในระดับอุดมศึกษา นักศึกษาส่วนใหญ่ใช้เพื่อความบันเทิง เนื่องจากมีความสดวกในการติดต่อสื่อสารกับผู้อื่น ในขณะการใช้อินเตอร์เน็ตของนักศึกษาส่วนใหญ่ใช้ค้นหาความรู้
      นักศึกษาใช้อินเตอร์เน็ตในการทำอะไรบ้าง
      นักศึกษาใข้ในการสนทนากับเพื่อนๆ และการค้นหาข้อมูลจากห้องสมุด และใช้ในรูปแบบต่างๆ  เพื่อเพิ่มพูนความรู้ และประกอบรายงาน
      สถานที่ที่มีการใช้เทคโนโลยี
นักศึกษาส่วนใหญ่ใช้อินเตอร์เน็ตที่บ้าน และห้องสมุดของสถาบันนักศึกษามีการใช้ข้อมูลเทคโนโลยีที่น้อยคือ
       ฐานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ การเรียนรู้แบบออนไลน์
                                 



หน่วยความจำสำรอง (Secondary Memory Unit)


หน่วยความจำสำรอง หรือหน่วยเก็บข้อมูลรอง เป้นหน่วยเก็บที่สามารถรักษาข้อมูลได้ตลอดเวลาไปหลังจากปิดเครื่องคอมพิวเตอร์แล้ว
             หน่วยความจำสำรองมีหน้าที่หลักคือ
1.ใช้ในการเก็บข้อมูลหรือสำรองข้อมูลเพื่อใช้ในอนาคต
2.ใช้ในการเก็บข้อมูล โปรแกรมไว้อย่างถาวร
3.ใช้เป็นสื่อในการส่งผ่านข้อมูลระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่ง
         





   ประโยชน์ของหน่วยความจำสำรอง ...

        หน่วยความจำรองจะช่วยแก้ปัญหาการสูญหายของข้อมูลอันเนื่องมาจากไฟฟ้าดับเพราะข้อมูลต่างๆที่ส่งเข้ามาประมวลผล เมื่อเรียบร้อยแล้ว ผลลัพธ์ที่ได้จะถูกนำไปเก็บในความจำหลักประเภทแรม หากปิดเครื่องหรือมีปัญหาทางไฟฟ้า อาจทำให้ข้อมูลสูญหายจึงจำเป็นต้องมีหน่วยความจำรอง เพื่อนำข้อมูลจากหน่อยความจำแรมมาเก็บไว้ใช้งานในครั้งต่อไป หน่วยความจำประเถทนี้ส่วนใหญ่จะพบในรูปของสื่อที่ใช้ในการบันทึกข้อมูลภายนอก เช่น ฮาร์ดดิสก์ แผ่นบันทึก ซิปดิสก์ ซีดีรอม ดีวีดี เทปแม่เหล็กหน่วยความจำแบบแฟลช หน่วยความจำรองนี้ ถึงจะไม่มีอยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ แต่เครื่องคอมพิวเตอร์ก็ยังสามารถทำงานได้ปกติ  

 ส่วนแสดงผลข้อมูล




ส่วนแสดงผลข้อมูล   คือส่วนที่แสดงข้อมูลจากสัญญาณไฟฟ้าในหน่วยประมวลผลกลางให้เป็นรูปแบบที่คนเราสามารถเข้าใจได้  อุปกรณ์ที่แสดงผลข้อมูลได้แก่  จอภาพ (Monitor)  เครื่องพิมพ์( Printer)  เครื่องพิมพ์ภาพ Ploter  และ ลำโพง (Speaker)  เป็นต้น









                               บุคลากรทางคอมพิวเตอร์ (PEOPLEWARE)

            บุคลากรทางคอมพิวเตอร์ หมายถึง คนที่มีความรู้ความสามารถในการใช้หรือควบคุมให้การใช้คอมพิวเตอร์เป็นไปอย่างราบรื่น อาจจะประกอบด้วยคนเพียงคนเดียวหรือหลายคนช่วยกันรับผิดชอบ โครงสร้างของหน่วยงานคอมพิวเตอร์

                     ประเภทของบุคลากรทางคอมพิวเตอร์                                            

  1. ฝ่ายวิเคราะห์และออกแบบระบบงาน
  2. ฝ่ายเกี่ยวกับโปรแกรม
  3. ฝ่ายปฏิบัติงานเครื่องและบริการ
                                     บุคลากรในหน่วยงานคอมพิวเตอร์
1. หัวหน้าหน่วยงานคอมพิวเตอร์ (EDP Manager)
2. หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์และวางแผนระบบงาน (System Analyst หรือ SA)
3. โปรแกรมเมอร์ (Programmer)
4. ผู้ควบคุมเครื่องคอมพิวเตอร์ (Computer Operator)
5. พนักงานจัดเตรียมข้อมูล (Data Entry Operator)


ซอฟต์แวร์ (SOFTWARE)

ซอฟต์แวร์ หมายถึง ชุดคำสั่งหรือโปรแกรมที่ใช้สั่งงานให้คอมพิวเตอร์ทำงาน ซอฟต์แวร์จึงหมายถึง ลำดับขั้นตอนการทำงานที่เขียนขึ้นด้วยคำสั่งของคอมพิวเตอร์ คำสั่งเหล่านี้เรียงกันเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ จากที่ทราบมาแล้วว่าคอมพิวเตอร์ทำงานตามคำสั่ง การทำงานพื้นฐานเป็นเพียงการกระทำกับข้อมูลที่เป็นตัวเลขฐานสอง ซึ่งใช้แทนข้อมูลที่เป็นตัวเลข ตัวอักษร รูปภาพ หรือแม้แต่เป็นเสียงพูดก็ได้ ซอฟต์แวร์นั้น นอกจากจะสามารถใช้งานบนคอมพิวเตอร์ได้แล้ว ยังสามารถใช้งานบนเครื่องใช้ หรืออุปกรณ์อื่น เช่น โทรศัพท์มือถือ หรือ หุ่นยนต์ในโรงงาน หรือ เครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ

                                    หน้าที่ของซอฟแวร์                                                                                 

 ซอฟแวร์ ทำหน้าที่เป็นตัวต่อเชื่อมระหว่างผู้ใช้คอมพิวเตอร์และเครื่องคอมพิวเตอร์

               ประเภทของซอฟแวร์  มี 3 ประเภท คือ 


1.ซอฟต์แวร์ระบบ (System Software) คือซอฟต์แวร์ที่บริษัทผู้ผลิตสร้างขึ้นมาเพื่อใช้จัดการกับระบบ หน้าที่การทำงานของซอฟต์แวร์ระบบคือดำเนินงานพื้นฐานต่าง ๆ ของระบบคอมพิวเตอร์ เช่น รับข้อมูลจากแผงแป้นอักขระแล้วแปลความหมายให้คอมพิวเตอร์เข้าใจ นำข้อมูลไปแสดงผลบนจอภาพหรือนำออกไปยังเครื่องพิมพ์ จัดการข้อมูลในระบบแฟ้มข้อมูลบนหน่วยความจำรอง เมื่อเราเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ ทันทีที่มีการจ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์จะทำงานตามโปรแกรมทันที โปรแกรมแรกที่สั่งคอมพิวเตอร์ทำงานนี้เป็นซอฟต์แวร์ระบบ ซอฟต์แวร์ระบบอาจเก็บไว้ในรอม หรือในแผ่นจานแม่เหล็ก หากไม่มีซอฟต์แวร์ระบบ คอมพิวเตอร์จะทำงานไม่ได้
                  ประเภทของซอฟแวร์ระบบ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
     1. ระบบปฏิบัติการ  OS (Operating System) คือ โปรแกรมระบบที่ทำหน้าที่ควบคุมการใช้งานส่วนต่าง ๆ ของเครื่องคอมพิวเตอร์ เช่น ควบคุมหน่วยความจำ ควบคุมหน่วยประมวลผล ควบคุมหน่วยรับและควบคุมหน่วยแสดงผล ตลอดจนแฟ้มข้อมูลต่าง ๆ ให้มีประสิทธิภาพในการทำงานสูงที่สุด และสามารถใช้อุปกรณ์ทุกสาวนของคอมพิวเตอร์และช่วยจัดการกระบวนการพื้นฐานที่สำคัญ ๆ ภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ เช่นการเปิด หรือปิดไฟล์ การสื่อสารกันระหว่างชิ้นส่วนต่าง ๆ ภายในเครื่อง การส่งข้อมูลออกสู่เครื่องพิมพ์หรือสู่จอภาพ เป็นต้น ก่อนที่คอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องจะสามารถอ่านไฟล์ต่าง ๆ หรือสามารถใช้ซอฟต์แวร์ต่าง ๆ ได้จะต้องผ่านการดึงระบบปฏิบัติการออกมาฝังตัวอยู่ในหน่าวความจำก่อน ปัจจุบันนี้มีโปรแกรมระบบบอยู่หลายตัวด้วยกันซึ่งแต่ละตัวนั้นก็เป็นโปรแกรมระบบปฏิบัติการเหมือนกัน แต่ต่างกันที่ลักษณะการทำงานจะไม่เหมือนกัน เช่น ดอส วินโดวสื ยูนิกซ์ ลีนุกซ์ และแมคอินทอช เป็นต้น 
                  DOS (Disk operating System)
เป็นระบบปฏิบัติการที่นิยมใช้กันมาตั้งแต่ในอดีตออกมาพร้อมกับเครื่องพีซีของไอบีเอ็มรุ่นแรก ๆ จากนั้นก็มีการพัฒนารุ่นใหม่ออกมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงเวอร์ชั่นสุดท้ายคือ เวอร์ชั่น 6.22 หลังจากที่มีการประกาศใช้วินโดวส์ 95 ก็คงจะไม่ผลิต DOS เวอร์ชชั่นใหม่ออกมาแล้ว โดยทั่วไปจะนิยมใช้วินโดวส์ 3. x ซึ่งถือว่าเป็นโปรแกรมเสริมชนิดหนึ่งที่ใช้ในดอส
                   UNIX
เป็นระบบ OS ที่สามารถใช้ร่วมกันได้หลายคน (Multiuser) หรือเป็นระบบปฏิบัติการแบบเครือข่าย โดยที่ผู้ใช้แต่ละคนจะต้องมีชื่อและพาสเวิร์ดส่วนตัว และสามารถเชื่อมโยงถึงกันได้ทั่วโลก โดยผ่านทางสายโทรศัพท์และมี Modem เป็นตัวกลางในการรับส่งข้อมูลหรือโอนย้ายข้อมูล นิยมใช้อย่างแพร่หลายในมหาวิทยาลัย หน่วยงานรัฐบาล หรือบริษัทเอกชนที่มีระบบคอมพิวเตอร์ใหญ่ ๆ ใช้ ในระบบยูนิกซ์เองก็มีวินโดวส์อีกชนิดหนึ่งใช้เรียกว่า X Windows สำหรับผู้ที่ต้องการใช้ระบบยูนิกซ์ในเครื่องพีซีที่บ้านก็มีเวอร์ชั่นสำหรับพีซีเรียกว่า Linux ซึ่งจะมีคำสั่งพื้นฐานคล้าย ๆ กับระบบยูนิกซ์
 
                   WINDOWS เป็นระบบปฏิบัติการที่กำลังนิยมใช้กันมากในปัจจุบัน ซึ่งพัฒนามาถึงรุ่น Windows 2000 แล้ว บริษัทไมโครซอฟต์ได้เริ่มประกาศใช้ MS Windows 95 ครั้งแรกเมื่อ 24 สิงหาคม ค.ศ.1995 โดยมีความคิดที่ว่าจะออกมาแทน MS-DOS และ วินโดวส์ 3. X ที่ใช้ร่วมกันอยู่ ลักษณะของวินโดวส์ 95 จึงคล้ายกับเป็นระบบโอเอสที่มีทั้งดอสและวินโดวส์อยู่ในตัวเดียวกัน แต่เป็นวินโดวส์ที่มีลักษณะพิเศษกว่าวินโดวส์เดิม เช่น มีคุณสมบัติเป็น Plug and play ซึ่งสามารถจะรู้จักฮาร์ดแวร์ต่าง ๆ ที่ติดตั้งอยู่ในเครื่องได้โดยอัตโนมัติ มีลักษณะเป็นระบบ 32 บิต ในขณะที่วินโดวส์ เดิมเป็นระบบ 16 บิต เป็นต้น บริษัทไมโครซอฟต์ไม่ได้หยุดเพียงแค่วินโดวส์ 95 แต่ได้มีการพัฒนาเพิ่มฟังก์ชันใหม่ ๆ เข้าไป ในที่สุดก็ออกระบบโอเอสตัวถัดมาเป็น MS Windows 98 และ MS Windows 2000 ตามลำดับโดยที่มีการติดตั้ง และการใช้งานที่มีพื้นฐานไม่แตกต่างกันมากนัก จึงง่ายสำหรับผู้ใช้ในการปรับตัวเข้ากับระบบโอดอสใหม่ ๆ

     2. ตัวแปลภาษา คือ การพัฒนาซอฟแวร์ต้องอาศัยซอฟแวร์ที่ใช้ในการแปลภาษาระดับสูงเพื่อแปลภาษาระดับสูงให้เป็นภาษาเครื่อง2.ซอฟต์แวร์ประยุกต์ (Application Software) เป็นซอฟต์แวร์ที่ใช้กับงานด้านต่าง ๆ ตามความต้องการของผู้ใช้ ที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้โดยตรง ปัจจุบันมีผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ใช้งานทางด้านต่าง ๆ ออกจำหน่ายมาก การประยุกต์งานคอมพิวเตอร์จึงกว้างขวางและแพร่หลาย เราอาจแบ่งซอฟต์แวร์ประยุกต์ออกเป็นสองกลุ่มคือ ซอฟต์แวร์สำเร็จ และซอฟต์แวร์ที่พัฒนาขึ้นใช้งานเฉพาะ ซอฟต์แวร์สำเร็จในปัจจุบันมีมากมาย เช่น ซอฟต์แวร์ประมวลคำ ซอฟต์แวร์ตารางทำงาน ฯลฯ
♦ แอสเซมเบลอ (Assembler) เป็นตัวแปลภาษาแอสแซมบลีซึ่งเป็นภาษาระดับต่ำให้เป็นภาษาเครื่อง
♦ อินเตอร์พรีเตอร์ (Interpreter) เป็นตัวแปลภาษาระดับสูงซึ่งเป็นภาษาที่ใกล้เคียงกับภาษามนุษย์ ไปเป็นภาษาเครื่อง โดยใช้หลักการแปลพร้อมกับงานตามคำสั่งทีละบรรทัดตลอดทั้งโปรแกรมทำให้การแก้ไขโปรแกรมทำได้ง่ายและรวดเร็ว
แต่ออบเจคโคดที่ได้จากการแปลโดยการใช้อินเตอร์พรีเตอร์นั้นไม่สามารถเก็บไว้ใช้ใหม่ได้จะจะต้องแปลโปรแกรมใหม่ทุกครั้งที่ต้องการใช้งาน
♦ คอมไพเลอร์ (Compiler) จะเป็นตัวแปลภาษาระดับสูงเช่นเดียวกับอินเตอร์พรีเตอร์แต่จะใช้วิธีแปลโปรแกรมทั้งโปรแกรมให้เป็นออบเจคโคด ก่อนที่จะสามารถนำไปทำงานเช่นเดียวกับแอสแซมเบลอ ออบเจคโคดที่ได้จากการแปลนั้นสามารถจัดเก็บไว้เป็นแฟ้มข้อมูล เพื่อให้นำไปใช้ในการทำงานเมื่อใดก็ได้ตามต้องการ ซึ่งเป็นข้อดีของคอมไพเลอร์ที่จะนำผลที่ได้จากการแปลนั้นไปใช้งานกี่ครั้งก็ได้ไม่จำกัด ไม่ต้องเสียเวลาในการแปลใหม่ทุกครั้ง ทำให้เป็นรูปแบบการแปลที่ได้รับความนิยมอย่างมาก
            ในปัจจุบัน มีหลักการแปลภาษาคอมพิวเตอร์แบบใหม่เกิดขึ้น คือแปลจากซอร์สโคดไปเป็นรหัสชั่วคราวหรืออินเทอมีเดียตโคด (Intermediate code)ซึ่งสามารถนำไปทำงานได้ด้วยการใช้โปรแกรมในการอ่านและทำงานตามรหัสชั่วคราวนั้นโดยโปรแกรมนี้จะมีหลักการทำงานคล้ายกับอินเทอพรีเตอร์ แต่จะทำงานได้เร็วกว่าเนื่องจากรหัสชั่วคราวจะใกล้เคียงกับภาษาเครื่องมาก มีข้อดีคือสามารถนำรหัสชั่วคราวนั้นไปใช้ได้กับทุก ๆ เครื่องที่มีโปรแกรมตีความได้ทันที

                           

                                       ซอฟต์แวร์ประยุกต์                                                                  


            ที่ใช้ทำงานร่วมกับคอมพิวเตอร์เพื่อนใช้ทำงานเฉพาะด้านเช่นการจัดพิมพ์รายงาน การนำเสนอรายงาน การจัดการบัญชี  การตกแต่งภาพ การออกแบบเว็บไซต์ ป็นต้น                        
ประเภทของซอฟแวร์ประยุกต์
แบ่งตามลักษณะการผลิต จำแนกได้เป็น 2 ประเภท คือ
            1. ซอฟต์แวร์ที่พัฒนาขึ้นใช้เองโดยเฉพาะ
            2.ซอฟต์แวร์ที่หาซื้อได้ทั่ว(package)ไปมีโรแกรมเฉพาะ(customized package )และ                   โปรแกรมมาตฐาน (standard package)
ประเภทของซอฟแวร์ประยุกต์
แบ่งตามกลุ่มการาใช้งาน จำแนกได้ 3 กลลุ่มใหญ่
            1. กล่มการใช้งานด้านธุรกิจ
            2.กล่มการใช้งานด้านกราฟฟิกและมัลติมีเดีย
            3.กล่มการใช้งานด้านใช้งานบนเว็บ
1.กลุ่มการใช้งานด้านธุรกิจ            ซอฟต์แวร์กลุ่มนี้ ถูกนำมาใช้โดยมุ่งหวังให้การทำงานมีประสิทธิภาพมาขึ้น เช่นการจัดพิมพ์รายงานเอกสาร และการบันทึกนัดหมายต่างๆ
 ตัวอย่าง เช่น โปรแกรมประมวลผปล อาทิ microsoft word; sun
โปรแกรมตกแต่งภาพ อาทิ coreldraw
โปรแกรมตัดต่อ วีดีโอและเสียง อาทิ adode premiere,pinnacle studio dv
โปรแกรมสร้างสื่อมัติมิเดีย อาทิ Adode authorware,
โปรแกรมสร้างเว็บ อาทิ adode flash,adode  Dreamweaver
กลุ่มการใช้งานบนเว็บและการติดต่อสื่อสารเมื่อเกิดการเติบโตของเครื่อข่ายอินเทอร์เน็ตซอฟแวร์กล่มนี้ได้ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อใช้งานเฉพาะเพิ่มมากขึ้น เช่น โปรแกรมการตรวจเช็คอีเมลการท่องเว็บไซต์การจัดการดูแลเว็บ
โปรแกรมส่งข้อความด่วน
โปรแกรมสนทนาบนอินเทอร์เน็ต

ความจำเป็นของการใช้ซอฟแวร์การใช้ภาษาเครื่องนี้ถึงแม้ว่าคอมพิวเตอร์จะเข้าใจทันที แต่มนุษย์ผู้ใช้จะมีข้อยุ่งยากมากเพราเข้าใจและจดจำได้ยาก จึงมีผู้สร้างภาษาคอมพิวเตอร์ในรูปแบบที่เป็นตัวอักษร

ซอฟแวร์และภาษาคอมพิวเตอร์เมื่อมนุษย์ต้องการใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการทำงานมนุษย์จะต้องบอกขั้นตอนวิธีการให้คอมพิวเตอร์ทราบคอมพิวเตอร์รับรู้ และทำงานได้อย่างถูกต้อง จำเป็นต้องมีสื่อกลาง ถ้าเปรียบเทียบกับชีวิตประจำวันแล้ว

ภาษาเเอสเซมบลีเป็นภาษาคอมพิวเตอร์ในยุคที่ 2 ถัดจากภาษาเครื่องภาษาแอสเซมบลีช่วยการเขียนโปรแกรมที่มันยุ่งยากในการเขียนคอมพิวเตอร์
แต่อย่างไรก็ตามภาษาแอสเซมบรีก็ยังมีความใกล้เคียงภาษา

ภาษาระดับสูงเป็นภาษาคอมพิวเตอร์ในยุกที่ 3 เริ่มมีการใช้ชุดคำสั่งที่เรียกว่า statements  ที่มีลักษณะเป็นประโยคภาษาอังกฤษ ทำให้ผู้ที่เขียนโปรแกรมสามารถเข้าใจชุดคำสั่งให้คอม พิวเตอร์ ทำงานง่ายขึ้น ผู้คนทั่วไปสามารถเรียนรู้และ เขียยนโปรแกรมได้ง่ายขึ้น
คอมไพเลอร์ และ อินเอร์พรีเตอร์

คอมไพเลอร์ จะทำหการแปลโปรแกรมที่มีเขียนเป็นภาษาระดับสูงทั้งโปรแกรมให้ป็นภาษาเครื่องก่อนแล้วจึงให้คอมพิวเตอร์ทำงานเครื่องก่อน

อินเอร์พรีเตอร์
 จะทำหน้าที่การ้เปลี่ยนแปลงทีละคำสั่งแล้วให้คอมพิวเตอร์ทำตามคำสั่ง






                         คอมพิวเตอร์และระบบคอมพิวเตอร์                                                  



                คอมพิวเตอร์ หมายถึง เครื่องมืออุปกรณ์อิล็กทรอนิกที่ทำงานด้วยคำสั่ง ชุดคำสั่ง หรือโปรแกรมต่างๆ
                ส่วนประกอบสำคัญของคอมพิวเตอร์
1. หน่วยรับข้อมูลเข้า (Input Unit) ทำหน้าที่ป้อนสัญญาณเข้าสู่ระบบ เพื่อกำหนดให้คอมพิวเตอร์ทำงาน ได้แก่
-แป้นอักขระ (Keyboard)
-แผ่นซีดี
-ไมโครโฟน
2. หน่วยประมวลผลกลาง (Central Processing Unit) CPU ทำหน้าที่คำนวณตรรกยะและคณิตศาสตร์ รวมถึงการประมวลผลข้อมูลตามคำสั่งที่ได้รับ
3. หน่วยความจำ (Memory Unit) ทำหน้าที่เก็บข้อมูลหรือคำสั่งที่ส่งมาจากหน่วยรับข้อมูล เพื่อเตรียมส่งไปประมวลผลกลาง และเก็บผลลัพธ์ที่ได้จากการประมวลผล เพื่อเตรียมส่งไปยังหน่วยแสดงผล
4. หน่วยแสดงผล (Output Unit) ทำหน้าที่แสดงข้อมูลที่คอมพิวเตอร์ทำการประมวลผล หรือผ่านการคำนวณแล้ว
5. อุปกรณ์ต่อพวงอื่นๆ (Peripheral Equipment) เป็นอุปกรณ์ที่นำมาต่อพ่วงเข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้มากยิ่งขึ้น เช่น (โมเดม Modem) แผ่นวงจรเชื่อมต่อเครือข่าย
                ประโยชน์ของคอมพิวเตอร์
1.             มีความเร็วในการทำงานสูง
2.             มีประสิทธิภาพในการทำงาน
3.             มีความถูกต้องแม่นยำ
4.             เก็บข้อมูลได้มาก
5.             สามารถโอนย้ายข้อมูลจากเครื่องหนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่งได้
                ระบบคอมพิวเตอร์ หมายถึง กรรมวิธีที่คอมพิวเตอร์ทำการใดๆกับข้อมูล ให้อยู่ในรูปแบบที่เป็นประโยชน์ ตามความประสงค์ของผู้ใช้งานให้มากที่สุด เช่น ระบบเสียภาษี
                องค์ประกอบของระบบคอมพิวเตอร์
1.             ฮาร์ดแวร์ (Hardware) หรือส่วนเครื่อง
2.             ซอฟร์แวร์ (Software) หรือส่วนชุดคำสั่ง
3.             ข้อมูล (Data)
4.             บุคลากร (People)
*   ฮาร์ดแวร์ หมายถึง ตัวเครื่องและอุปกรณ์ที่สัมผัสจับต้องได้
1.1.  ส่วนประมวลผล
1.2.  ส่วนความจำ
1.3.  อุปกรณ์รับเข้าและส่งออก
1.4.  อุปกรณ์หน่วยเก็บข้อมูล
·       ส่วนประมวลผล CPU เป็นอุปกรณ์ฮาร์แวร์ที่เปรียบเสมือนสมอง ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของคอมพิวเตอร์ ประมวลผลและเปรียบเทียบข้อมูล
·       ส่วนหน่วยความจำ (Memory) มี 3 ประเภท คือ
1.หน่วยความจำหลัก คือ
                1.1 แรม RAM (Random Access Memory) เป็นความจำที่ต้องอาศัยกระแสไฟฟ้าเพื่อรักษาข้อมูล ลบเลือนได้
                1.2 รอม ROM (Read Only Memory) เก็บโปรแกรมหรือข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ เรียกว่า หน่วยความจำไม่ลบเลือน
2.หน่วยความจำสำรอง
                มีไว้สำรองหรือทำงานเก็บข้อมูลและโปรแกรมขนาดใหญ่ สามารถเก็บไว้ได้หลายแบบ เช่น แผ่นบันทึกแบบแข็ง แผ่นซีดีรอม
3.หน่วยเก็บข้อมูล